|

The Wayward Cloud (2005)
(บรรยายไทย)
Directer:Ming-liang Tsai Producer:Bruno Pésery Writter:Ming-liang Tsai Cinematography:Pen-jung Liao Editor:Sheng-Chang Chen Running time:114 min Country:Taiwan Language:Mandarin Genre:Musical, Comedy, Drama Subtitle: English/ไทย
Starring
Kang-sheng Lee ... Hsiao-Kang
Shiang-chyi Chen ... Shiang-chyi
Yi-Ching Lu ... Mother
Kuei-Mei Yang ... Taiwanese Porn Actress
Sumomo Yozakura ... Japanese Porn Star
ไฉ่หมิงเหลียง ผู้กำกับติสแตกกับหนังสุดเซอร์ ว่าด้วยวิกฤตการณ์ขาดน้ำในไต้หวันที่รัฐบาลรณรงค์ให้ผู้คนหันมากินแตงโมแทน แต่เหตุการณ์นี่สร้างปัญหาไปทั้วไม่เว้นแม้แต่กับทีมงานถ่ายทำหนังโป๊
Hsiao-Kang, now working as an adult movie actor, meets Shiang-chyi once again. Meanwhile, the city of Taipei faces a water shortage that makes the sales of watermelons skyrocket

   
(บทความนี้ตัดมาจาก http://www.popcornmag.com/bbs/index.php?showtopic=1613)
(เคยลงใน นสพ.กรุงเทพธุรกิจ 4 พ.ย. 48)
The Wayward Cloud เพ่...โป๊ไหมเพ่...
? คนดูน่าจะฉลาดพอจะตัดสินได้ว่านี่เป็นหนังโป๊หรือเปล่า ? เป็นเสียงตอบขับขานจาก ไฉ้หมิงเลี่ยง ผู้กำกับชั้นหัวกะทิของไต้หวันและของโลกเลยก็ว่าได้ สำหรับ ณ นาทีนี้ กับผลงานที่มีฉากการถ่ายทำหนังเรทเอ็กซ์ตามเนื้อเรื่องของ The Wayward Cloud ซึ่งเข้าประกวดที่เทศกาลหนังเบอร์ลิน 2005 โดยได้รับทั้งเสียงปรบมือสรรเสริญ และเสียงโห่ร้องก่นด่าไปพร้อมๆกัน (เป็นไปได้ไง..) บางคนถึงขั้นลุกเดินออกจากโรงไปก่อนหน้านั้น แต่สุดท้ายหนังคว้า 2 รางวัลจากเทศกาลเบอร์ลิน คือ รางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม และรางวัลนำศิลปะภาพยนตร์ไปสู่ทิศทางใหม่
ภาพยนตร์รางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยม เท่าที่คุ้นเคยมักจะเป็นบทหนังที่ซับซ้อนซ่อนเงื่อนขมวดปมหักมุมไว้หลากหลายชั้นหลายตลบ มีโครงสร้างของบทที่วางไว้อย่างเป็นหลักมีแบบแผน คอยดักหน้าดักหลังเล่นเอาล่อเอาเถิดกับอารมณ์ความคิดของคนดู จุดประสงค์ใหญ่เพื่อให้เกิดอาการได้ที่พุ่งปรี๊ด...สุดเมื่อถึงบทไคลแม็กซ์สุดท้าย และต้องมีการบ้านให้ไปคบคิดต่อหลังหนังจบลงอีกตามประสาของขนบภาพยนตร์รางวี่รางวัล
แต่จะเป็นอย่างไร ถ้าหนังกว่าสองชั่วโมงเรื่องนั้นมีบทหลักเพียงตัวละครสองคน นางเอกพูดสองประโยค (ไม่ใช่คำว่า ?ช้างกูอยู่ไหน? ก็แล้วกัน) และพระเอกไม่พูดเลยสักคำ (กรี๊ด...)
และตัวละครบทนี้ก็ไม่ได้เป็นไบ้ด้วย แล้วเหตุไฉนหนังเรื่องดังกล่าว The Wayward Cloud สามารถประสบความสำเร็จกับรางวัลบทภาพยนตร์ยอดเยี่ยมนี้
? ในหนังเรื่องต่อไปของผม ทั้งเรื่องจะมีการพูดแค่คำเดียวเท่านั้น นอกจากนั้นจะไม่มีบทพูดเลย ?
ไฉ้หมิงเลี่ยงให้สัมภาษณ์ล่าสุดหลังจากนั้น ชวนให้สงสัยว่าไอ้คำเดียวที่ว่ามันคือคำว่าอะไร ที่น่าชวนให้ติดตามยิ่งนัก แต่ก่อนจะถึงวันนั้นมาดูรายละเอียดหนังเรื่องล่าสุด ซึ่งช่างเหมาะเจอะกับสไตล์ผู้กำกับที่มีสูตรสำเร็จเฉพาะประจำกายว่า หนังของไฉ้หมิงเลี่ยงต้องมี นักแสดง-ผู้ชม-ผู้กำกับ ทุกคนเป็นคนเดิมหมด ด้วยเขามีดาราขาประจำหลักคู่บุญอยู่ชื่อ หลี่คังเซิง พระเอกหน้าตาย(เพราะดูเป็นคนไร้อารมณ์จริงๆ ส่วนใหญ่แสดงอยู่หน้าเดียวแท้ๆ) ซึ่งทำงานร่วมกันมากว่า 14 ปีและเป็นพระเอกของเขาในทุกเรื่องราวที่ผ่านมา
ในส่วนของผู้กำกับนั้นต้องคนเดิมอยู่แล้ว โดยวัยเด็กนั้นไฉ้หมิงเลี่ยง เกิดในมาเลเซีย แล้วย้ายมาเติบโตที่ไต้หวัน เรียนจบสาขาศิลปะการละครและภาพยนตร์ที่มหาวิทยาลัยไต้หวัน แล้วฝึกปรือฝีมือด้านละครเวที ภาพยนตร์ทางโทรทัศน์ ก่อนเริ่มทำหนังเรื่องแรกในปี 1992 เขาใช้เวลา 13 ปีสร้างหนังยาว 8 เรื่องพร้อมสร้างลายเซ็นเฉพาะตัวอันโดดเด่นของตนเองจนถือขึ้นเป็น ผู้กำกับแถวหน้าสุดของโลก สามารถเทียบชั้นระดับต้นตำหรับสร้างสรรค์บรรยากาศความเหงาแสนว้าเหว่ในหนังได้ไม่แพ้ หว่องกาไว เจ้าของสูตรลับเหงาอย่างโรแมนติกจากฮ่องกง ได้ก็แล้วกัน ส่วนเหงาสไตล์ไฉ้หมิงเลี่ยง จะไม่หวือหวาเท่า เรียบง่ายกว่า น่าเบื่อกว่าหลายเท่าตัว แบบชนิดเหงาจนน่าสมเพชเลยก็ว่าได้
ดังนั้นไม่น่าแปลกใจว่าผู้ชมคนดูที่เคยดูหนังของเขาแล้วจะกลายเป็นคนดูในกลุ่มเดิมๆ แน่นอนเพราะว่าในจำนวนคนที่หลวมตัวเข้าไปชมด้วยเหตุอันใดก็ตาม หากมีบรรดาผู้คนที่ลุกไปก่อนหนังของเขา(ไม่ว่าผลงานเรื่องใหน)จบลงแล้ว คงจำใส่กระโหลกว่าไม่ขอย่างกายเข้าใกล้รัศมีของผู้กำกับคนนี้อีกเป็นแน่แท้...(ฮา) คำว่า นักแสดง-ผู้ชม-ผู้กำกับ กลุ่มเดิมๆจึงเป็นคอนเส็ปที่ลงตัวสุดของผู้กำกับคนนี้
The Wayward Cloud เป็นหนังภาคที่สามต่อของจากหนังยาว What Time is It There?(2001) และหนังสั้น The Skywalk is Gone (2002) หรือถ้าไม่เคยดูภาคใดมาก่อนก็ไม่เป็นปัญหาเพราะเนื้อเรื่องมีเพียงน้อยนิดแล้วยังสามารถแยกออกจากกันได้อย่างอิสระ ไม่ส่งผลเสียแก่ผู้ที่พลาดชมภาคก่อนๆ เนื่องจากหนังของไฉ้หมิงเลี่ยงเท่าที่จำได้ ในเมืองไทยบ้านเราไม่เคยเข้าโรงเปิดฉายตามรอบปกติเลย มีแต่เพียงฉายตามเทศกาลหนังต่างๆไม่กี่รอบ น่าเห็นใจแทนผู้มีสิทธิ์ตัดสินใจเลือกหนังของค่ายหนังต่างๆเพราะถ้าเลือกหนังแนวนี้เข้าฉายจริงๆจะมีคนดูอยู่สักกี่คนกัน..ฮาๆๆ
What Time is It There? เริ่มที่ เสี่ยวคัง (หลี่คังเซิง) ชายหนุ่มผู้ยึดอาชีพขายนาฬิกาบนสะพานลอยได้ขายนาฬิกาส่วนตัวซึ่งสามารถปรับดูเวลาสองสถานที่ในเวลาเดียวกันได้ให้กับ เซียงฉี (เฉินเซียงฉี) ก่อนที่เธอจะเดินทางไปไกลถึงปารีส แล้วทั้งสองก็ต่างเฝ้าคิดถึงกันและกัน โดยเสี่ยวคังพยายามตามเปลี่ยนเวลาของนาฬิกาทุกเรือนที่เจอให้เป็นเวลาเดียวกับเวลาของปารีสตลอดทั้งเรื่อง ฝ่ายเซียงฉีก็อยู่ตามลำพังอย่างเปลี่ยวเหงาแสนแปลกแยกกลางกรุงปารีสอยู่ผู้เดียว
The Skywalk is Gone เป็นหนังสั้นดำเนินเรื่องต่อเมื่อเซียงฉีกลับมาที่ไต้หวันแล้วออกตามหาเสี่ยงคัง ตั้งแต่สะพานลอยที่ถูกทุบทิ้งตลอดจนรอบๆกรุงไทเป ส่วนเสี่ยวคังได้เริ่มต้นก้าวเข้าสู่อาชีพใหม่
และ The Wayward Cloud ภาคล่าสุดที่นางเอกเซียงฉีได้พบกับกับเสี่ยงคังโดยบังเอิญ นับจากนั้นความรักได้ก่อเกิด โดยที่เธอไม่ได้รับรู้ถึงอาชีพใหม่ของเสี่ยวคังเลยว่าคือพระเอกหนังเอ็กซ์ที่มีสถานที่ถ่ายทำอยู่ในอาคารเดียวกับที่เซียงฉีพำนักอาศัยอยู่ เนื้อเรื่องหลักมีอยู่แค่นี้จริงๆ แม้เนื้อหามีอยู่เพียงน้อยนิดเท่านี้ สำหรับแฟนพันธุ์แท้ของไฉ้หมิงเลี่ยงถือว่าปกติสุขแสนธรรมดามากๆ เนื่องจากเสน่ห์ของหนังผู้กำกับคนนี้อยู่ที่รายละเอียดยิบย่อยกระจ่อยจิดเกือบทุกวินาทีในการดำเนินเรื่องต่างหาก
ซึ่งครั้งนี้มีสิ่งสร้างความแปลกใหม่ให้กับสไตล์หนังของเขา จากเดิมที่มักจัดภาพอย่างมีเอกลักษณ์อันแสนคุ้นเคยกับแทบทุกช็อตใช้มุมกล้องขนาดลองช็อต (long shot) และขนาดปานกลาง( medium shot) ไม่มีการเคลื่อนกล้องบ่อย กล้องจะตั้งอยู่กับที่ ครั้งนี้หนังยังคงเปิดเรื่องด้วยภาพมุมกว้างๆโล่งบนทางเดินที่ไร้สิ่งใดเคลื่อนไหว แล้วค่อยๆมีเสียงฝีเท้าของรองเท้าแตะของนางเอกค่อยๆดังขึ้นเรื่อยๆ หลังจากนั้นตัวละครก็ค่อยๆเดินจากริมสุดจอด้านหนึ่งอย่างอ้อยสร้อยไปจนสุดอีกด้านหนึ่ง โดยที่กล้องไม่เคลื่อนที่เลยเกือบ 3 นาที
หนังช็อคคนดูนับจากนั้นด้วยฉากที่ต้องจดจำไปอีกนานกับ สาวร่างอวบในชุดพยาบาลสีขาวนอนแผ่หลาบนเตียง แผ่หลาจริงๆเพราะที่หว่างขาของเธอมีแตงโมลูกโตผ่าครึ่งสีแดงแจ๋บนเตียงสีขาว หลังจากนั้นชายหนุ่มในชุดเสื้อกาวสีขาวก็มาทำปู้ยีปู้ยำกับแตงโมสีแดงตรงบริเวณดังกล่าว โดยมีเสียงครางอย่างพอใจของพยาบาลสาวดังตามจังหวะทิ้มเจอะเนื้อแตงโมด้วยมือของชายหนุ่มซึ่งก็คือพระเอกเสี่ยวคัง นั่นเอง
ใช่แล้วเสี่ยวกังมีอาชีพพระเอกหนังโป๊ ดังนั้นใครก็ตามที่คิดว่าต้องได้เห็นภาพเด็ดๆสุดสวิ้งสวายอารมณ์สวาทละก็ เห็นที่จะต้องผิดหวัง เพราะทุกฉากที่มีการถ่ายทำหนังโบ๊ในเรื่อง อารมณ์ไม่ไปทางนั้นเลยเพราะว่ามันมีอันเป็นไปให้ต้องอดขำอดหัวเราะอดฮาไม่ได้ว่ามุกเปลือย...ขำขำ..อะไรกันหว่า เช่นเดี๋ยวก็มีเหตุอันต้องผิดแผกผิดปกติไปเลยเช่น น้ำประกอบฉากไม่พอ ,ฝาขวดน้ำหายไปไหน ...(ฮามาก...ขอบอก) โดยในซีนภาพโบ๊นี้ใช้ลักษณะการเคลื่อนกล้องแบบหนังปกติทั่วไปมีการตัดภาพไปมาบ้าง ถือว่าต่างจากขนบเดิมแช่ทิ้งกล้องไว้นานๆของผู้กำกับคนนี้ แต่มันเหมือนสัญญานที่บอกว่าถ้าให้ทำตัดกล้องไปมาแบบปกติทั่วๆไปก็ทำได้นะ แต่ขอโทษมันบ้านๆเกินไป ไม่ค่อยอยากทำ(วะ)
เช่นเดียวกับเรื่องการไร้เสียงเพลงประกอบภาพยนตร์ที่ช่วยเร้าอารมณ์แบบหนังอื่นๆ เพราะในชีวิตจริงคนเราเวลาทำอะไรเราก็ไม่เคยได้ยินเสียงเพลงมาบรรเลงคลออยู่แล้ว...นี่ ฉะนั้นหนังของไฉ้หมิงเลี่ยงส่วนใหญ่จึงมีเพียงเสียงซาวด์ประกอบจริงทั่วๆไป เช่น เสียงเดินลากแตะของนางเอก ,เสียงลากกระเป๋า, เสียงจากทีวี ,เสียงผู้คนขณะทำงานถ่ายทำหนังโป๊ นั่นคือนอกจากภาพนิ่งๆเกือบทั้งเฟรม ซึ่งมีส่วนที่ขยับแค่น้อยนิดของตัวละคร ผสมกับเสียงเงียบๆเป็นหลักเพราะแต่ละฉากส่วนใหญ่เป็นสถานที่ไม่ค่อยพบเห็นผู้คน เช่นสวนสาธารณะโล่ง, ทางเดินบนคอนโด, ภายในห้องนอน, ในลิฟท์ ฯลฯ ความนิ่งและเงียบเหล่านี้สร้างความอึดอัดให้กับผู้ชมที่ไม่คุ้นเคยทันที อาการเบื่อจึงเริ่มถามหา ดังนั้นจึงไม่ต้องแปลกใจถ้าจะมีใครหมดความอดทนแล้วลุกเดินออกจากโรงไปก่อนโดยไม่หวนกลับมาอีก
แต่หนังเรื่องนี้ใช้สไตล์แปลกใหม่แหกกฎเดิมๆของไฉ้หมิงเลี่ยงเองด้วย กับการนำเสนอฉากแฟนตาซีแสนบรรเจิดสุดเพริศพริ้ง กับแนวทางหนังมิวสิคัลกับภาพจินตนาการของตัวละครหลัก ด้วยเพลงสุดไพเราะ 5 เพลงหลักที่เล่าขานอารมณ์แสนประหลาดล้ำพิสดารเกินคาดเดา เช่น
เสี่ยวคังกลายร่างเป็นมังกรมาออดอ้อนพระจันทร์เสี้ยว (โอ...แม่เจ้า),
เซียงฉีกลายเป็นดอกไม้ดาวเต้น (พึ่งได้เห็นรักยิ้มแก้มบุ๋มของเธอก็คราวนี้แหละ),
โลกแสนสดใสสุดกุ๊กกิ๊กที่เต็มไปด้วยสีแดงของแตงโม (หะๆๆ...หะฮ่า),
ยังมีนางพญาแมงมุมไฟมาปรากฎกายอีกหนึ่งตัว (มาได้ไง...เนี๊ย)
และแก๊งสาวซ่าสวยใสที่แต่งตัวด้วยอุปกรณ์ต่างๆในห้องน้ำแสนเซ็กซี่ (อา...ฮ้า)
ถึงแม้จะเป็นเสียงเพลงภาคภาษาจีนที่ไม่คุ้นหูนักแต่ทางด้านอารมณ์นั้นได้เลย มีทั้งท่วงทำนองหวานเจี๊ยบ, ตลกสดใส, ปลุกใจ และห้าวหาญ ชวนฟัง ไม่น่าเชื่อว่าภาพในส่วนจินตนาการนี้พอนึกถึงทีไรก็ยังจำได้ติดตาจนบัดนี้
ทั้งภาพโป๊ ภาพนิ่งเงียบแสนอ้อยอิ่ง ภาพวิจิตรหลากลีลาเกินบรรยาย มาผสมปนเปกันในอัตราส่วนที่เหมาะเจอะ พอดิบพอดีเหล่านี้ไม่ได้ส่งผลทำให้เนื้อหาพล็อตเมนหลักของเรื่องหลุดออกจากกรอบไปแม้แต่น้อย แต่มันกลับกลายเป็นส่วนผลักดันให้เกิดการดำเนินเรื่องที่ส่งผลลัพธ์อันทรงพลังในฉากไคลแมกซ์ของเรื่อง ที่แน่นอนว่า อาจจะคลุมเคลือๆจนถึงขั้นต้องตีความตามสไตล์ของหนังประเภทนี้ ซึ่งก็เป็นไปตามแนวทางหนังพูดน้อยที่ปล่อยให้คนดูคอยตีความ จับบุคลิกอากัปกริยาของตัวละคร กันต่อเอาเอง ว่าไปแล้วก็เหมาะสมกับอีกรางวัลที่หนังได้รับ คือรางวัลนำศิลปะภาพยนตร์ไปสู่ทิศทางใหม่ นั่นเอง
ถ้าจะลองยกตัวอย่างสัญลักษณ์ชวนข้องจิตสักอัน เช่น ความหมายของแตงโม ที่นำมาใช้แทนน้ำในสภาวะแล้งน้ำในไต้หวันตามท้องเรื่อง ถึงนางเอกจะชอบกินแตงโมเจอแตงโมลอยน้ำก็เก็บมาแช่ตู้เย็น แต่เสี่ยวกังไม่ค่อยชอบแตงโมนัก (แน่นอนว่า ใครดูหนังเรื่องนี้จบ คงไม่อยากกินแตงโมไปอีกนานแน่ๆ..) ดูจะเป็นสิ่งที่ต่างกันอย่างหนึ่งของสองคู่พระ-นางที่แม้จะมีอะไรหลายอย่างคล้ายกันมากตั้งแต่ต้นเรื่อง ในฉากแฟนตาซีก็ยังมีโลกที่เต็มไปด้วยสีแดงของแตงโมมาล้อเลียนเข้าไปอีก ถึงจะไม่มีคำอธิบายใดๆที่สื่อความหมายของแตงโมได้ชัดเจนในที่นี้ แถมปล่อยครั้งที่เห็นภาพทั้งสองคนอยู่คนละฝากของจอโดยมีผนังห้องกั้นอยู่กลางจอเรื่อยๆ แต่ผู้กำกับไฉ้หมิงเลี่ยงก็เคยให้สัมภาษณ์ในภาพรวมๆไว้ว่า (จากไบโอสโครปฉบับ 36)
? หนังทุกเรื่องของผมก็มีความเหงาอยู่ข้างใน และมันจะมี distant (ระยะห่าง) โดยเฉพาะระยะห่างระหว่างคนสองคน ผมมีความรู้สึกเกี่ยวกับระยะห่างมากๆ สำหรับคนสองคน ถ้าพวกเขาอยู่ห่างกันมากๆ ความรักก็จะเพิ่มขึ้นแต่ทั้งคู่ก็ยังอยากจะใกล้ชิดกัน แต่ถ้าใกล้ชิดกัน ทั้งคู่ก็กลัวอยู่ดีว่าความรักก็ยังคงอยู่ ผมคิดว่าความรักเป็นสิ่งที่หาได้ง่าย และหายไปง่ายเช่นกัน เหมือนกับครอบครัวของผม ผมเกิดที่มาเลเซียแต่ผมอาศัยอยู่ที่ไต้หวันยิ่งผมกับครอบครัวห่างไกลกันมากเท่าไร ผมก็ยิ่งรักครอบครัวมากขึ้นเท่านั้น ?
หรือย้อนกลับไปที่คำกล่าวตอนต้นบทวิจารณ์นี้ที่ว่า ? คนดูน่าจะฉลาดพอจะตัดสินได้ว่านี่เป็นหนังโป๊หรือเปล่า ? แต่เรทติ้งที่ได้รับในการฉายเรื่องนี้ในประเทศไทยคือ NC-17 ที่หมายถึงไม่อนุญาตให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 17 ดูอย่างเด็ดขาด
อาการคลุมเคลือๆไม่ค่อยชัดเจนแบบนี้ทำให้ผมอดนึกไปถึง อารมณ์เดียวกับการไปเดินชอบปิ้งตามสถานที่ต่างๆ แถว จตุจักร คลองถม พันธุ์ทิพย์ ฯลฯ มักได้พบชายแปลกหน้าเดินมาใกล้ๆแล้วพูดประโยคคำถามแสนคุ้นหู ว่า
? เพ่...โป๊ไหมเพ่...?
ตอนนั้นผมนึกคำตอบได้อย่างหนึ่ง พอพูดแล้วรีบหันหลังเดินหนีเลยนะครับ
? เอ่อ...พอดีรถพี่พึ่งทำสีใหม่มา...นะ...?
รางวัล
|
|